The Persistence Of Memory

The Persistence Of Memory เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบที่วาดโดย ซัลบาโด ดาลี ศิลปินชาวสเปน ในปี ค.ศ.1931 ภาพได้รับการจัดแสดงครั้งแรกที่หอศิลป์จูเลียน เลวี ในปี ค.ศ.1932 ก่อนผู้บริจาคที่ไม่ออกนามจะมอบให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนครนิวยอร์ก ในปี ค.ศ.1934 ความทรงจำอันตราตรึง เป็นหนึ่งในภาพวาดที่เป็นที่รู้จักของดาลี และเป็นผลงานที่สำคัญของลัทธิเหนือจริง สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในภาพคือ นาฬิกาพกที่อ่อนตัว เป็นตัวแทน "ความอ่อน" และ "ความแข็ง" ซี่งเป็นหัวข้อที่ดาลีคิดในขณะนั้น ผู้ชมบางส่วนสังเกตเห็นว่าวัตถุนี้หลับตาหนึ่งข้าง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ความทรงจำอันตราตรึง แสดงภาพในความฝัน ด้านซ้ายล่างของภาพมีนาฬิกาสีส้มที่มีมดตอมด้านบนแทนความเสื่อมโทรม ถัดจากนาฬิกาสีส้มมีนาฬิกาอีกเรือนที่มีแมลงวันเกาะด้านบน เงาของแมลงวันแสดงภาพคล้ายร่างมนุษย์ ฉากหลังของภาพเป็นแคปเดอครูวส์ คาบสมุทรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นกาตาลุญญา ซึ่งดาลีใช้เป็นฉากในหลายๆภาพของเขา

เครดิต:https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B8%87

https://legomenon.com/salvador-dali-persistence-of-memory-melting-clocks-meaning.html

The Last Supper

The Last Supper หรือ "อาหารมื้อสุดท้าย" เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังชิ้นสำคัญที่ เลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินเอกแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการตอนสูง (High Renaissance) วาดให้แก่ดยุกลูโดวีโก สฟอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขา ภาพนี้วาดขึ้นตามเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ถ่ายทอดเหตุการณ์ช่วงระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับเหล่าสาวกในห้องชั้นบน ก่อนที่จะทรงถูกจับไปตรึงกางเขน ใช้เวลาวาดภาพอาหารมื้อสุดท้ายนี้ถึง 4 ปี ภาพวาดนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เนื่องจากถูกวาดบนผนังห้องอาหารในคฤหาสน์ของท่านดยุก นับเป็นภาพวาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ยังคงสภาพให้มองเห็นได้ในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในผลงานจิตรกรรมสำคัญที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

เครดิต:https://www.choojaiproject.org/2018/03/da-vinci-and-the-last-supper-hidden-secrets/

The Night Watch

ภาพ The Night Watch เป็นผลงานของศิลปิน เรมบรันต์ แวนไรค์ (Rembrandt van Rijn) หนึ่งในศิลปินยุคทองของดัตช์ ในยุคบาโรก เป็นภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดภาพหนึ่ง วาดเสร็จในปี ค.ศ.1642 เป็นภาพกลุ่มอาสาสมัครพลเรือนชาวดัตช์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทหารรักษาความสงบ และเฝ้าเวรยามกลางคืนเพื่อเฝ้าระวังอัคคีภัยในสมัยนั้น ภาพนี้เป็นหนึ่งในจำนวนภาพชุดเดียวกันอีกเจ็ดภาพที่หน่วยงานนี้ได้ว่าจ้างศิลปินดัตช์คนอื่นๆวาดเพื่อติดประดับในศาลากลางเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นภาพเขียนขนาดใหญ่สุดที่ใช้เทคนิคที่เรียกว่า กิอารอสกูโร (Chiaroscuro) กล่าวคือเป็นภาพที่ซ่อนอยู่ในเงามืด มีแสงสว่างส่องเฉพาะจุด เป็นลักษณะประจำตัวของผลงานศิลปินท่านนี้ 

เครดิต:https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99

Girl With a Pearl Earring

Girl With a Pearl Earring เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดย โยฮันเนิส เฟอร์เมร์ จิตรกรชาวดัตช์ในสมัยบาโรก ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานศิลปะเมาริตส์เฮยส์ ในเดอะเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เฟอร์เมร์เขียนภาพ"สาวใส่ต่างหูมุก" เสร็จในปี ค.ศ.1665 ที่บางครั้งเรียกว่า "โมนาลิซาแห่งทางเหนือ" หรือ "โมนาลิซาของชาวดัตช์" โดยทั่วไปแล้วเกือบจะไม่มีอะไรที่ทราบเกี่ยวกับผู้เขียนภาพและงานที่เขียน ภาพนี้ลงชื่อ"IVMeer" แต่ไม่ลงวันที่และไม่ทราบแน่ชัดว่างานที่รับจ้างเขียนหรือไม่ และถ้าใช่แล้วใครเป็นผู้จ้าง? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภาพนี้มิได้จงใจจะให้เป็นภาพเหมือนธรรมดา 

เครดิต:https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%81

The Starry Night Over The Rhone

ราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน Starry Night Over The Rhone เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดย ฟินเซนต์ ฟัน โคค จิตรกรชาวดัตช์คนสำคัญในลัทธิประทับใจยุคหลัง ปัจจุบันภาพเขียนชิ้นนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ออร์แซ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภาพ Starry Night Over The Rhone ที่เขียนในปี ค.ศ.1888 เป็นภาพเขียนยามกลางคืนในเมืองอาร์ล ฟัน โคคเขียนภาพนี้ตรงจุดที่ห่างเพียงไม่กี่นาทีจากบ้านเหลือง ที่จัตุรัสลามาร์ตีนที่ ฟัน โคค เช่าอยู่ขณะนั้น ท้องฟ้ายามค่ำและผลของการสะท้อนของแสงเป็นหัวข้อของภาพที่มีชื่อเสียงมากกว่าภาพนี้ซึ่ง ได้แก่ "ลานหน้าร้านกาแฟยามค่ำ" ที่เขียนไว้เมื่อ 2-3 เดือนก่อนหน้านั้น และอีกภาพหนึ่งคือ "ราตรีประดับดาว" ที่เขียนที่เมืองแซ็ง เรมีเดอ พรอว็องส์ในเวลาต่อมา

The Last Judgement

การพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgement) ในตามหลักอวสานวิทยาศาสนาคริสต์ หมายถึง วันที่พระเป็นเจ้าทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติต่างๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการคืนชีพของบรรดาผู้ตายและการมาครั้งที่สองของพระเยซู หัวข้อนี้เป็นที่นิยมทำในงานศิลปะต่างๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ระบุว่าพระเจ้าทรงกำหนดวันหนึ่งไว้เพื่อจะพิพากษาโลก และวันแห่งการพิพากษานั้นจะยาวนานหนึ่งพันปี พระเจ้าจะทรงทำลายองค์ประกอบต่างๆของสังคมมนุษย์ที่เสื่อมทรามและกำจัดคนชั่ว ผู้รอดชีวิตจากอวสานของยุคนี้คือ คนเป็น ที่จะถูกพิพากษา ในช่วงการพิพากษาซึ่งยาวนานหนึ่งพันปีนั้น พระเยซูพร้อมด้วยชายและหญิง 144,000 คน ที่ถูกปลุกขึ้นจากตายสู่ชีวิตในสวรรค์จะปกครองแผ่นดินโลก ในวันพิพากษาซาตานและเหล่าผีปีศาจจะถูกจำกัดไม่ให้มีอำนาจครอบงำกิจการของมนุษย์

Woman with a Parasol – Madame Monet and Her Son

โกลด มอแน (Claude Monet) ศิลปินชาวฝรั่งเศสกับงานจิตรกรรมภาพ Woman with a Parasol -Madame Monet and Her Son หรือเรียกภาพนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า "The Stroll" วาดขึ้นเมื่อปี 1875 เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะ Impressionism ที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันมากที่สุดภาพหนึ่งของมอแน บุคคลในภาพนี้คือ กามีย์ มอแน หรือ กามีย์ ดงซิเออซ์ (Camille Doncieux) ภรรยาคนแรกของมอแน กับฌ็อง (Jean) บุตรชายในช่วงเวลาที่ครอบครัวของศิลปินพักผ่อนอยู่ที่อาร์ฌ็องเตย (Argenteuil) เสน่ห์ของภาพคือการสะบัดฝีแปรงรอยพู่กันอย่างฉับไวของศิลปิน Woman with a Parasol - Madame Monet and Her Son เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์จิตรกรรมในหัวข้อชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องราวของครอบครัวศิลปินซึ่งปรากฏให้เห็นในลักษณะ Impressionism ที่โดดเด่นเป็นครั้งแรกในศิลปะตะวันตกปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 บริเวณด้านล่างมุมขวาของภาพ ลงชื่อศิลปินด้วยลายเซ็นว่า "Claude Monet 75" หมายถึง มอแนวาดภาพนี้เมื่อปี 1875 ศิลปินมีความชื่นชอบภาพนี้เป็นพิเศษ ดังเห็นได้ว่า มอแนเลือกเป็นหนึ่งใน 18 ภาพของเขาที่นำออกแสดงในนิทรรศการศิลปะ Impressionist exhibition ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.1876

เครดิต: https://www.takieng.com/stories/4132

https://hi-in.facebook.com/RiverCityBangkok/posts/1695353427261287